เจมีไนน์ กับความกดดันที่ต้องแบกไว้โดยไม่มีใครรู้!! เล่าจุดเปลี่ยนชีวิต หลังเข้าวงการแบบไม่ตั้งใจ

33

นักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง “เจมีไนน์ – นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์” เปิดใจแบบ Deep Talk ครั้งแรก! ย้อนเล่าชีวิตวัยเด็กกับความกดดันที่ต้องแบกไว้โดยไม่มีใครรู้ เผยเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง จนเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเข้ามาในวงการบันเทิงแบบไม่ตั้งใจ ในรายการ WOODY FM

Advertisement

ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วครับ ?

เจมีไนน์ : อีกไม่กี่วันว่าอายุ 20 ปีแล้วครับ

รู้สึกว่าช่วงสองปีที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์เยอะขึ้น ?

เจมีไนน์ : รู้สึกว่าโตขึ้นมาก (หัวเราะ) เร็วมากๆ เพราะว่าด้วยความที่ทำงานด้วยครับ แล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบเข้ามาเยอะขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันครับ ก็เลยรู้สึกว่าจะโตกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน

ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวใหญ่ไหม ?

เจมีไนน์ : ไม่ใหญ่ครับ จะมีพ่อแม่แล้วก็ผม ผมเป็นลูกคนเดียว ตอนเด็กๆ ก็จะมีเหล่าม่าเป็นทวดมาอยู่ด้วย แต่ว่าตอนนี้เสียไปแล้วครับ

คุณทวดเสียตอนคุณอายุเท่าไหร่ ?

เจมีไนน์ : เด็กมากๆ เลยครับน่าจะประมาณตอนผม 10-11 ขวบ ตอนนั้นเศร้ามาก เพราะผมอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาก็รักผมมากๆ แต่ตอนนั้นผมดื้อมากเลย ทำตัวไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ เค้าดูทีวีอยู่ ผมก็เปลี่ยนไปดูการ์ตูนของผม จะแย่งรีโมททีวีกัน จะทะเลาะกันอย่างนี้ตลอด แค่รู้สึกว่าตอนนั้นก็น่าจะให้เค้าดูทีวีไป

ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวก็อาจจะมีความคาดหวังประมาณหนึ่งจากพ่อแม่ใช่ไหม ?

เจมีไนน์ : ใช่ครับ ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว เขาก็จะมีความคาดหวังที่สูงมาก ๆ ในสิ่งที่เขาอยากให้เราเป็น เราเป็นความหวังเดียวของเขา ซึ่งผมว่าพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกได้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามีความกดดัน โดกดดันมาตั้งแต่เด็กว่าจะต้องเป็นคนที่ดีที่สุดในบางอย่าง เช่น ถ้าผมเล่นกีฬาก็ต้องเก่งที่สุดในทีมนี้ ถ้าเรียนผมก็ต้องได้ดีที่สุดในห้อง ซึ่งแม่ของผมเป็น Perfectionist อยากให้ทุกอย่างออกมาเพอร์เฟคตามที่เค้าต้องการ ซึ่งมันก็กดดันมากๆ ตั้งแต่ตอนผมเด็กๆ ก็รู้สึกว่าทำไมเราจะต้องทำขนาดนี้ อายุแค่นี้ทำไมเราต้องกดดันตัวเอง ทำไมไม่เป็นแบบคนอื่นชิลล์ๆ กลับมาบ้านเล่นกับเพื่อนอะไรแบบนี้ แต่ผมช่วงกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องไปเรียนพิเศษ เรียนดนตรี เรียนร้องเพลงเรียนพิเศษในวิชาหลัก เรียนตลอดครับ

เคยตั้งคำถามไหมว่าทำไมต้องมานั่งเรียนสิ่งนี้ที่เราไม่ชอบ ?

เจมีไนน์ : เคยครับ แล้วก็ถามพ่อแม่ด้วยว่าทำไมต้องทำขนาดนี้เพราะคนอื่นก็ไม่เห็นจะทำกันเลย ทำไปแล้วได้อะไร มันเสียเวลาหรือเปล่า เพราะว่าผมเป็นคนขี้เกียจคนหนึ่ง ท่านก็บอกว่าทำไปเดี๋ยวก็รู้เองว่าได้อะไร ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันควรที่จะเรียนจริงๆ คือตอนเรียนอะไรเด็กๆ มันจะเก็บพื้นฐานได้ แล้วตอนนี้ผมรู้สึกว่าทำอะไรผมเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่นค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเรามีพื้นฐานตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว พอกลับมาทำมันก็เลยรู้สึกว่าง่ายขึ้น

ในตอนที่คุณไม่เข้าใจมันกดดันขนาดไหน แต่ก่อนคุณอยากเรียนเป็นอะไรนะ ?

เจมีไนน์ : เป็นหมอครับ ซึ่งตอนแรกผมยังไม่รู้เลยว่าผมอยากเป็นอะไร ไม่ใช่เรื่องผิดนะที่ยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร ตอนนี้เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่รู้ว่าผมจะไปทางไหนดีถ้าไม่ใช่ทางวงการบันเทิง พ่อแม่ก็เลยให้ผมลองทำโน่นทำนี่ลองเข้าวงการดู ลองเรียนหมอ ลองเรียนโน้นนี่ดู ซึ่งในตอนแรกผมไม่เอาเลยกับวงการบันเทิง เพราะว่าผมเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เป็นคนที่กลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรามากๆ ในตอนนั้นผมไปประกวดเข้า GMM TV ซึ่งตอนนั้นผมปล่อยเลยผมไม่อยากเข้า ผมร้องเพลงของพี่เบิร์ด ชื่อว่าเพลงแฟนจ๋า แต่สรุปว่าได้เข้า แล้วก็ได้เซ็นต์สัญญา ถึงวันที่ผมจะต้องเซ็นต์สัญญาเข้าออฟฟิศที่ GMM TV แล้วผมอยู่ตรงลานจอดรถกับพ่อแม่ เราก็บอกเขาว่าไม่เอา ไม่อยากทำ ไม่เซ็นต์ก็ได้ เพราะผมกลัวมาก เราไม่รู้ในวงการบันเทิง ไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ ผมอยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น

พ่อแม่ก็เลยบอกว่าถ้าไม่ไปเซ็นต์ลงจากรถไปเลยแล้วหาทางกลับบ้านเอง ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลยไม่มีเงินสักบาทติดตัว แล้วยังหาทางกลับบ้านเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าบ้านอยู่ตรงไหน ก็เลยต้องจำใจยอมไปเซ็นต์สัญญา แบบที่กล้าๆกลัวๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่าข้างหน้ามันคืออะไร พ่อแม่ก็บอกว่าลองทำดูมันเป็นสิ่งที่ดี มีโอกาสเข้ามาก็ลองทำดู มันไม่ได้มีอะไรผิดแล้วเราก็ร้องเพลงที่โรงเรียนอยู่แล้ว ทางนี้ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เราจะได้มาร้องเพลง ซึ่งเป็นที่ๆ คนอื่นจะได้เห็นเราเยอะขึ้น จำได้ว่าร้องไห้เลยตอนที่อยู่ในรถ

หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นจุดเปลี่ยน ตอนไหนที่คุณรู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว ?

เจมีไนน์ : น่าจะตอนหลังจากซีรีส์แฟนผมเป็นประธานนักเรียนจบ ซึ่งตอนนั้นก็เกือบจะไม่รับซีรีส์แฟนผมเป็นประธานนักเรียน เพราะรู้สึกไม่มั่นใจแอคติ้งตัวเอง ตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนผมตกคลาสแอคติ้ง ผมก็เลยไม่กล้าทำแอคติ้งมาหลังจากนั้นเลย ไม่มั่นใจการแสดงเลยแล้วหลังจากนั้นพอเข้ามาที่นี่ก็ได้มีโอกาสได้แสดงซีรีส์เยอะมากขึ้น ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าจะรับหรือไม่รับดี ตอนนั้นเป็นช่วง ม. 5 ขึ้น ม. 6 พอดี ก็เลยลองดู ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากๆ ตอนแรกทำไปก็เหนื่อยมาก แต่พอผลตอบรับออกมาดีมากๆ ก็รู้สึกว่าหายเหนื่อย เริ่มมีกระแสมากขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าทางนี้เราก็ไปได้เหมือนกันนะ

วันไหนที่รู้สึกว่ามีความสุขที่สุดในการทำงานในวงการ ?

เจมีไนน์ : น่าจะเป็นวันที่อยู่บนเวที แฮปปี้ที่สุดน่าจะมีสองครั้ง ครั้งแรกที่มีคอนเสิร์ตที่ยูเนี่ยนมอลล์ ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตหลังจากจบซีรี่ส์ เป็นครั้งแรกที่ผมมีคอนเสิร์ตแล้วก็ร้องไห้บนคอนเสิร์ตเลย ซึ่งผมเป็นคนที่ร้องไห้ยากมากๆ จะไม่มีทางร้องไห้ให้ใครเห็นเด็ดขาด เพราะผมไม่อยากให้คนเห็นในมุมที่เศร้า แต่น้ำตานั้นเป็นน้ำตาของความสุขที่มันบรรยายออกมาไม่ถูก แล้วมันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมน้ำตาที่อยู่ดีๆ ไหลออกมาด้วยความภูมิใจในตัวเอง มีความสุขด้วยความที่เราถึงฝันแล้ว รอบที่สองจะเป็นคอนเสิร์ตที่อิมแพ็คอารีน่า มันเป็นฝันของใครหลายๆ คนมากๆ ที่จะได้ขึ้นไปเล่นบนอิมแพ็ค ผมเคยอยู่ในจุดที่ไปดูคนอื่นแต่ว่าคราวนี้เราได้มาแสดงให้คนอื่นดู มันเกินฝันไปมากๆ เลยก็รู้สึกว่าภูมิใจในตัวเอง

ได้มีโอกาสกลับไปขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ไหม ?

เจมีไนน์ : อาจจะไม่ได้ขอบคุณแบบต่อหน้า แต่ว่าขอบคุณผ่านรายการซึ่งผมขอบคุณบ่อยๆ พูดขอบคุณในตอนจบคอนเสิร์ตก็บ่อย แต่ว่าไม่เคยกล้าพูดต่อหน้าเลย เพราะผม Keep Cool กับพ่อแม่มาตลอด ผมไม่เคยให้เค้าเห็นในมุมที่ผมอ่อนไหว หรือว่าในมุมที่ผมบอกรักพ่อแม่น้อยมากๆ ซึ่งจริงๆ อยากบอกมากๆ นะ ผมแค่รู้สึกว่าผมไม่กล้าบอก

ความสัมพันธ์กับ โฟร์ท ณัฐวรรธน์ ตอนนี้เป็นยังไง ?

เจมีไนน์ : ดีครับ เจอกันทุกวันเลย มีงานทุกวันก็จะเจอกันบ่อย แต่ว่าช่วงนี้เริ่มมีงานเดี่ยวด้วย น่าจะเป็นคนหนึ่งที่ผมเจอเยอะที่สุดในชีวิตแล้ว เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกเหมือนกันนะ เพราะเราแทบไม่ค่อยคุยกันในไลน์เลย โทรก็ไม่เคย อินสตาแกรมก็ไม่เคย DM หากัน แต่ว่าทุกครั้งที่เรามาเจอกันในงาน มันคลิกกัน มันมีเคมีบางอย่างที่เชื่อมกันได้แบบที่มองตาก็รู้ใจ ซึ่งมันเป็นกับคนอื่นไม่ได้

มีความรักที่คุณคู่ควรหรือยัง ?

เจมีไนน์ : ความรักที่ผมคู่ควรคือแฟนคลับ เอาจริงๆนะในตอนแรกผมไม่รู้ว่าผมคู่ควรกับเขาหรือเปล่าด้วยซ้ำไป ผมคู่ควรที่จะมาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า คู่ควรกับการที่จะได้รับความรักมากมายขนาดนี้หรือเปล่า เพราะว่าแฟนคลับนี่แหล่ะที่ทำให้ผมรู้ว่าผมคู่ควรในการมีเขา และเขาก็คู่ควรในการมีผม เพราะว่าทุกอย่างที่ผมทำ ผลงานที่มันออกไปผมตั้งใจในทุกอย่าง และก็อยากทำให้มันออกมาดีที่สุด อยากทำให้ทุกคนชอบ อยากทำให้ทุกคนไม่ได้มองผลงานเราจากการที่เราหล่อเฉยๆ แต่มองว่าผลงานนี้เป็นผลงานที่ดีอีกผลงานหนึ่งในวงการ ซึ่งแฟนคลับผมมองอย่างนั้นค่อนข้างเยอะ ผมเป็นเด็กหลอดแก้วครับ พ่อแม่ผมมีลูกยากมาก แต่เขาอยากมีลูกมากๆ แล้วเก็บไข่อยู่ในช่องฟรีซประมาณ 2 ปี ถึงได้ออกมา เวลาใครชมว่าผมหล่อจะไม่รู้สึกแฮปปี้เท่าการที่คนชมว่าผมเก่งมีความสามารถ เพราะคนหล่อมีเยอะแยะมากมายในโลก แต่คนที่มีความสามารถที่คนจะยอมรับว่าคู่ควรมาอยู่ตรงนี้มันมีน้อยมาก

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 19.00 น.

คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=IULgnlnODTA&ab_channel=WOODY

Advertisement